รีวิว C&C Remastered Collection : ไวน์เก่า ฉลากใหม่ กับรสไฉไลที่เราคิดถึง
หมายเหตุ : รีวิวชิ้นนี้ ได้รับการสนับสนุนคีย์โดย EA และบริษัท Play4Fun
หมายเหตุ 2 : รีวิวชิ้นนี้ เขียนขึ้นโดยใช้ข้อมูลการเล่นจบภารกิจหลักของ GDI ในภาค Tiberian Dawn และภารกิจหลัก Soviet ในภาค Red Alert ที่ความยากระดับ Normal และทดสอบการเล่นโหมด Skirmish สองเกม กับโหมด Multiplayer ไปสามแมทช์
ถ้าย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน มีคนมาบอกกับผู้เขียนว่า เกมแนววางแผนแบบจับเวลาจริงหรือ Real-Time Strategy นั้น จะล้มหายตายไปจากสารบบ กลายเป็นแนวเกมที่คนไม่นิยม และผู้สร้างไม่ปลื้มนั้น เชื่อว่าผู้เขียนในเวลานั้นคงรู้สึกตลกและหัวเราะจนปอดฉีกทะลุอกออกมาเหมือน Chestburster ในหนังซีรีส์ Aliens กันให้ได้เสียอย่างนั้น
ก็ทำไมจะไม่ตลก ในเมื่อแวดล้อมรอบตัวเวลานั้น ผู้พัฒนาแต่ละค่ายต่างสรรหากลวิธี และนำเสนอชิ้นงานเกมแนว RTS ป้อนเข้าสู่ตลาดชนิดมากมายเล่นกันไม่หวาดไม่ไหว เป็นยุคสมัยที่เกมวางแผนจับเวลาจริงหลายเกมได้แจ้งเกิดและสร้างตำนานมานักต่อนัก ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ Warcraft, Starcraft, Battle Realms, Age of Empires และเรือธงจาก Westwood Studios ที่ฮิตติดลมบนอย่างยาวนาน ซีรีส์ Command and Conquer ทั้งภาคหลัก และจักรวาลแยกอย่าง Red Alert โอกาสที่เกมแนวนี้จะเหี่ยวเฉาซบเซานั้น แทบจะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว
[caption id="attachment_55663" align="aligncenter" width="1024"] และ CnC ก็ทำให้โลกแห่งเกมได้รู้จักกับ Kane ตัวร้ายหัวล้านทรงเสน่ห์แห่ง Brotherhood of Nod ผู้เป็นดั่ง Icon สำคัญของซีรีส์นี้มากว่าสองทศวรรษ[/caption]
แต่มาในวันนี้ ... ไอ้ที่เคยรู้สึกตลก ก็กลายเป็นเรื่องขำขื่นไปเสีย เพราะความไม่เที่ยงอันเป็นสัจธรรมแท้จริงของทุกสิ่งบนโลก ก็เกิดขึ้นกับเกมแนว RTS ที่แม้จะมีดาวเด่นอย่างซีรีส์ Starcraft ภาคสองที่ยังคงแข่งขันอย่างเข้มข้นบนเวที eSports ระดับสากล แต่ความนิยมในเกมแนวนี้ก็ดูจะเสื่อมถอย ไม่โชติช่วงเท่ากับเวลาตั้งต้นของมัน รวมทั้งเปลี่ยนโฉมเป็นแนว MOBA ที่รวดเร็วยิ่งกว่า เรียกว่าห่างไกลจากแสงไฟไปอย่างน่าเศร้า (และกลายเป็นตลกร้าย ที่เกม Turn-Based Strategy ที่เคยซบเซา กลับเข้ามาเป็นทางเลือกที่มีให้เล่นไม่หวาดไม่ไหวไปแทน)
[caption id="attachment_55683" align="aligncenter" width="400"] แถมปิดฉากด้วยภาค Tiberian Twilight ที่สมควรถูกลืมไปจากสารบบเสียให้ได้อีกต่างหาก....[/caption]
ที่กล่าวมานั้นไม่ใช่ว่าจะมารำพึงความเศร้าเล่าความหลังอะไร แต่มันเป็นสถานการณ์ที่น่าประหลาดใจ เมื่อ Command and Conquer ได้ประกาศจะกลับมาครั้งใหม่ ในแบบ ‘Remastered’ ที่สัญญาถึงคุณภาพที่ตามยุคสมัย ให้เหล่า Old School และหน้าใหม่ได้สัมผัสกัน
กล่าวโดยสรุป Command and Conquer Remastered Collection ชิ้นนี้ อาจจะไม่ได้เป็นการปฏิวัติหรือพลิกฟื้นวงการ Real-Time Strategy ให้กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง แต่มันก็เป็นชิ้นงานระดับคุณภาพที่ผ่านการพัฒนาอย่างพิถีพิถัน โดยอดีตผู้สร้างดั้งเดิม เติมรสด้วยความทันสมัย ในแก่นกลางหลักหัวใจของการทำลายล้างที่รวดเร็วฉับไว ที่เคยสร้างตำนานอย่างยิ่งใหญ่เมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาให้กลับคืนมาอีกครั้ง
สำหรับ CnC Remastered แพ็คเกจนี้ ขออย่าได้สับสนกับรวมฮิตเมดเล่ย์ 17 ภาคที่ออกมาก่อนหน้านั้นของ EA เพราะนี่คือชิ้นงานที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพตั้งแต่หัวจรดเท้า กับสองภาคหลักสุดคลาสสิค Command and Conquer : Tiberian Dawn และ Command and Conquer : Red Alert ที่ผนวกพ่วงเนื้อหาหลัก, เนื้อหาภาคเสริม และเนื้อหาภาคคอนโซลสมัย Playstation 1 มาบรรจุไว้ เรียกว่าครบเซ็ทสำเร็จเล่นได้ในแพ็คเดียวเลยก็ว่าได้
[caption id="attachment_55667" align="aligncenter" width="1024"] เทียบกันจะๆ ระหว่างกราฟิกแบบ Legacy ดั้งเดิม และแบบ Remastered ความละเอียด 4K[/caption]
สิ่งที่โดดเด่นจนต้องขอกล่าวถึงในเบื้องแรกสำหรับ CnC Remastered ชิ้นนี้ คือคุณภาพกราฟิก ที่คมชัดเนียนกริบระดับ 4K ที่ผ่านการตกแต่งอย่างใส่ใจ ทุกพื้นที่ ทุกยูนิต ทุกสิ่งก่อสร้าง ถูกร่างและเพิ่มความละเอียดจนถึงขีดสุดประสิทธิภาพของยุคสมัย ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่แม้จะเป็นเกมเดิมก็ตาม รวมถึง Full Motion Video คั่นฉากภารกิจที่ได้รับการ Upscale ให้มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น แม้แต่เสียงพากย์ของ EVA ระบบ AI ของภาค Tiberian Dawn ก็ยังได้ Kia Huntzinger เจ้าของเสียงโมโนโทนต้นตำรับกลับมารับบทอีกครั้ง
แต่สำหรับใครที่คิดถึงกราฟิกแบบพิกเซลลายจุด ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นโหมด Legacy ได้ง่ายๆ เพียงแค่กดปุ่ม Spacebar เท่านั้น เรียกว่าเป็นความพิถีพิถันจากทีม Petroglyph อดีตเด็กเก่าค่าย Westwood Studios และทีม Lemon Sky Studios ที่พิสูจน์ผลงานมาแล้วกับ Starcraft Remastered ดังนั้น เรื่องกราฟิกจึงหายห่วง มันลื่นไหล มันละเอียด และมันเนียนเสียจนให้ทุกเกมการเล่นสามารถดำเนินไปได้อย่างเพลิดเพลินเจริญสายตาเป็นอย่างยิ่ง
[caption id="attachment_55669" align="aligncenter" width="1024"] โหมด Jukebox เลือกเพลงที่คิดถึงใส่ใน Playlist ได้ตามความชอบใจ กับทุกแทร็คกำกับใหม่ ความยาวร่วม 7 ชั่วโมงเต็ม[/caption]
ความสุดยอดด้านกราฟิกอาจจะเป็นตัวนำ แต่เพลงประกอบก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญสำหรับซีรีส์ Command and Conquer ซึ่งในเวอร์ชัน Remastered ก็ได้ Frank Klepacki และวง The Tiberian Sons ประพันธกรดั้งเดิม กลับมาทำการ Rearrange ทุกเพลงที่มีทั้งภาค Tiberian Dawn และ Red Alert ด้วยจำนวนเพลงทุกแทร็คความยาวรวมกว่า 7 ชั่วโมง และสามารถเลือก Playlist แบบ Jukebox ได้ตามที่ชอบใจ สำหรับแฟนเก่าเดนตาย คงไม่มีอะไรจะสุดยอดเท่ากับการได้ฟังเพลงอย่าง Act on Instinct และระห่ำสะใจไปกับจังหวะเบสจากนรก Hell March ที่น่าหลงใหลนี้อีกแล้ว เป็นความอร่อยหูที่ให้ฟังเวียนซ้ำอีกกี่รอบก็ไม่มีเบื่อ
อีกจุดหนึ่งที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นตามยุคสมัย คือในส่วนของโหมด Multiplayer ที่เปลี่ยนมาใช้ระบบ Server แบบ Dedicated สร้างห้องแล้ว Join ได้อย่างลื่นไหลไม่ติดขัด แน่นอนว่าในขณะที่เขียนบทความชิ้นนี้ จะยังไม่มีห้องให้เข้าไป Join อย่างเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แต่ความสะดวกที่มี พร้อมทั้งโหมด Map Editor ที่รองรับ Mod Support ก็น่าจะช่วยขยายอายุการเล่นของสองภาคหลักในแพ็คเกจนี้ได้ดี แม้ว่าในสายเลือดแบบ Old-School จะยังคงคิดถึงการเชื่อมต่ออันแสนยากลำบากแบบ TCP/IP ดั้งเดิม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความสะดวกที่มาใหม่นี้ เป็นอะไรที่น่าจับตาและน่าจับใจผู้เล่นทั้งหน้าเก่าและใหม่ให้มาโรมรันกัน
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่อาจจะต้องเตือนผู้เล่นกันเสียแต่เนิ่นๆ เพราะการกลับมาของ CnC ครั้งนี้ มันคือการ ‘Remastered’ ขนานแท้ เพราะแม้ว่าจะมีการเพิ่มและปรับปรุง Quality of Life ในการเล่น, กราฟิก, เพลงประกอบ และจำนวนภารกิจที่มีให้เล่นกันอย่างล้นหูล้นหัว แต่โดยแก่นแล้ว มันยังคงเป็น ‘เกมเดิม’ จากเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ที่เมื่อเราถอดแว่นสีกุหลาบระลึกความหลังทิ้งไป คุณจะได้พบกับความ ‘เก่า’ ที่ยังคงตามติดประชิดหลอนในแบบที่ไม่สมควรพบเจอในเกมยุคโมเดิร์น ไม่ว่าจะด้วยความฉลาด AI ที่เข้าข่ายซื่อบื้อจนถึงขีดสุด (ถ้าไม่อยู่ในระยะทำการ ก็สามารถยืนนิ่งเป็นเป้ากระสุนไปซะเฉยๆ) , ไม่มีระบบเดินไปโจมตีไป จนถึงระบบค้นหาเส้นทาง Pathfinding ที่ห่วยแตกยังไงก็ยังงั้น (ผิดปกติจนเป็นปกติกันเลย...)
[caption id="attachment_55672" align="aligncenter" width="1024"] ต่อให้มียูนิตมากมาย แต่สุดท้าย รถถัง ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับการปิดบัญชี ... (ถ้าไม่นับการ Engineer Rush ช่วงต้นเกมล่ะก็นะ...)[/caption]
ความเก่าเหล่านี้ รวมไปถึงการเล่นหลักที่ไม่ได้มี Strategic Layer อะไรซับซ้อนนอกไปจากการ Rush ยึดฐานด้วยทหารช่าง Engineer (แบบเดียวที่ Bay Riffer ได้ลองสาธิตในวิดีโอภาค Yuri’s Revenge) ไปจนถึงการปั๊มรถถังออกมาให้มากที่สุดเพื่อบุกถล่มให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่ละยูนิตมีฟังก์ชันเพียงระนาบเดียว และไม่มีความสามารถหรือสกิลใดๆ สำหรับการพลิกเกมแม้แต่น้อย (และยูนิตที่มีความสามารถแปลกๆ ก็มีไว้เป็นเพียงแค่สีสันแต่เพียงเท่านั้น) เมื่อบวกรวมกับแผนที่ในโหมด Multiplayer ที่ปราศจากความสมดุลอย่างรุนแรง เชื่อว่านักเล่นสาย RTS แบบโมเดิร์นก็น่าจะขัดใจกันบ้าง ไม่มากก็น้อย (และเชื่อเถอะว่า ถ้าเกมวางจำหน่ายเมื่อไหร่ คุณจะได้เจอกลยุทธ์ที่ว่าจากเหล่าเซียนสิงห์สนามแน่ๆ เรียกว่ารำมวยรอท่าไว้ล่วงหน้ากันเลยทีเดียว…)
[caption id="attachment_55676" align="aligncenter" width="1024"] แผนที่ที่ปราศจากความสมดุลอย่างรุนแรง น่าจะทำให้สมรภูมิ Multiplayer นั้น น่าเล่นน้อยลงไปถนัดใจ....[/caption]
แต่เมื่อมองโดยภาพรวมแล้ว Command and Conquer: Remastered Collections ก็ได้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ที่ไม่ใช่การปฏิวัติแวดวง RTS แต่เป็นเครื่องย้อนพากลับสู่อดีตอันน่าคิดถึง ช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ที่ชื่อของ Command and Conquer และ Westwood Studios นั้นยังเป็นยักษ์ใหญ่ยืนตระหง่านเป็นปูชนียสถานให้แก่นักพัฒนารุ่นอื่นๆ ที่ตามมา
และภาค Remastered นี้ มันคือจดหมาย มันคือปูมบันทึก มันคือ ‘ไวน์’ ชั้นเลิศที่แม้จะถูกเปลี่ยนฉลากใหม่ แต่ยังคงหัวใจของรสชาติที่น่าลิ้มลอง ที่ผ่านการบ่มเพาะมาอย่างยาวนานกว่าสองทศวรรษ ก่อนที่จะได้รับการเปิดจุกคอร์กและดื่มร่ำให้เพลิดเพลินกันอีกครั้ง
“มันคือรสอันนุ่มละมุน ท่ามกลางสมรภูมิแห่งการทำลายล้าง ทุ่งราบไทบีเรียน และจักรวาลคู่ขนานแห่งเกม Real-Time Strategy ที่ทำให้หวนระลึกว่า เรานั้นได้เดินทางมา ไกลเท่าใดแล้ว…”
[penci_review id="55661"]